Explainer

สรุปคำแนะนำที่ควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนกระตุ้นโควิด-19 รุ่นใหม่

วัคซีนป้องกันโควิด-19 รุ่นล่าสุดมุ่งเป้าไปที่การป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ย่อย และจะพร้อมจำหน่ายแก่ชาวออสเตรเลียตั้งแต่เดือนหน้า

A person receiving a vaccine

People who have already had their 2023 vaccination(s) don't need to get jabbed again and remain well protected against severe disease. Source: Getty / Francine Orr/Los Angeles Times

เนื่องจากไวรัสโควิด-19 มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของวัคซีน ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม ชาวออสเตรเลียจะสามารถเข้าถึงวัคซีนรุ่นใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันสูงกว่ารุ่นเดิม

วัคซีนเข็มกระตุ้น "โมโนวาเลนต์" เหล่านี้คาดว่าจะป้องกันสายพันธุ์ SARS-CoV-2 ได้ดีกว่า ซึ่งสายพันธุ์นี้เป็นไวรัสที่กำลังแพร่กระจายอยู่ในปัจจุบัน

วัคซีน”โมโนวาเลนต์” ของไฟเซอร์จะสามารถฉีดให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ส่วนวัคซีน”โมโนวาเลนต์” ของModerna สามารถใช้กับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป

ใครบ้างที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีนกระตุ้นรุ่นใหม่? และมันมีความแตกต่างจากวัคซีนรุ่นก่อน ๆ อย่างไร? วัคซีนเหล่านี้มีประสิทธิภาพอย่างไรบ้าง และปลอดภัยหรือเปล่า เรามีคำตอบให้คุณ

ใครบ้างที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีนกระตุ้น (booster vaccines) รุ่นใหม่?

รัฐบาลกลางอนุมัติคำแนะนำของกลุ่มที่ปรึกษาทางเทคนิคด้านการสร้างภูมิคุ้มกันแห่งออสเตรเลีย (the Australian Technical Advisory Group on Immunisation; ATAGI) ที่แนะนำให้ประชาชนได้รับวัคซีนรุ่นใหม่ หลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลของออสเตรเลียอนุมัติการใช้วัคซีนเมื่อเดือนที่แล้ว อย่างไรก็ตาม สิทธิ์รับวัคซีนยังคงเดิมตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา

ATAGI แนะนำให้ชาวออสเตรเลียที่มีอายุมากกว่า 75 ปีได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้น ได้รับวัคซีนครั้งสุดท้ายมากกว่าหกเดือนขึ้นไป และแนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 65-74 ปีได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นรุ่นใหม่ที่ผลิตในปี 2023 หากยังไม่ได้ฉีด

file-20231120-21-4igdnx.png?ixlib=rb-1.1.0&q=45&auto=format&w=754&fit=clip
Advice for people without risk factors. Source: The Conversation
ส่วนกลุ่มที่มีอายุ 18-64 ปีซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงซ่อนเร้น และมีความเป็นไปได้ที่จะมีอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ขั้นรุนแรง ก็ได้รับแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นใหม่ หากยังไม่เคยฉีด และหากฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ของปี 2023 แล้ว พวกเขาสามารถฉีดเข็มกระตุ้นอีกเข็มได้

file-20231120-26-70jfyr.png?ixlib=rb-1.1.0&q=45&auto=format&w=754&fit=clip
Advice for people with risk factors. Source: The Conversation
สำหรับกลุ่มที่อายุ 18-64 ปี ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง และได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นใหม่ในปีนี้แล้ว จะไม่แนะนำให้ฉีดซ้ำ แต่หากคุณอายุ 18-64 ปีและยังไม่เคยฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ คุณสามารถฉีดวัคซีนกระต้นซ้ำได้

ส่วนเด็กที่ไม่มีโรคประจำตัวหรือปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิดขั้นรุนแรง ATAGI ไม่แนะนำให้เด็กอายุหกเดือนถึงห้าปีฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น


โมโนวาเลนต์, ไบวาเลนต์? แตกต่างกันอย่างไร?

วัคซีนป้องกันโควิดในระยะเริ่มแรกเป็นแบบ "โมโนวาเลนต์" ซึ่งจะป้องกันแค่ไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม

แต่เมื่อไวรัสกลายพันธุ์ เราได้มีการกำหนดตัวอักษรกรีกตัวใหม่ให้กับแต่ละสายพันธุ์ และทำให้เรารู้จักสายพันธุ์โอไมครอน และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้เราได้เห็นการ"การหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกัน" ของไวรัส เพราะโครงสร้างของไวรัสที่มีเปลี่ยนแปลงไปมากจนวัคซีนเดิมไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ

ดังนั้นจึงมีการปรับปรุงวัคซีนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ย่อยของ Omicron BA.1 ในยุคแรกๆ บวกกับสายพันธุ์ดั้งเดิม และด้วยจุดประสงค์ในการป้องกันทั้งสองสายพันธุ์ จึงเกิดเป็นวัคซีน "ไบวาเลนต์" ซึ่งในปี 2022 วัคซีนไบวาเลนต์ตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติในออสเตรเลีย

ไวรัสโควิดสายพันธุ์ Omicron มีวิวัฒนการอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ "การหลบหนีทางภูมิคุ้มกัน" มากขึ้นและส่งผลให้เกิดการระบาดหลายระลอก


มีการปรับปรุงวัคซีนโควิดอีกครั้งเมื่อต้นปีนี้ (2023) และวัคซีนไบวาเลนต์รุ่นใหม่เหล่านี้มุ่งเป้าไปที่2 สายพันธุ์ 2 ใหม่ ได้แก่ สายพันธุ์เดิมบวกกับสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5

การเปลี่ยนแปลงของไวรัสทำให้เราจำเป็นต้องปรับปรุงวัคซีนอีกครั้ง และนี่คือวัคซีนที่เพิ่งประกาศไปล่าสุด

คราวนี้วัคซีนเข็มบูสเตอร์ใหม่ จะป้องกันสายพันธุ์ย่อยตัวใหม่ของ Omicron ที่รู้จักกันในชื่อ XBB.1.5 (บางครั้งเรียกว่า Kraken)

วัคซีนนี้เป็นวัคซีนแบบโมโนวาเลนต์ ซึ่งหมายความว่ามีการป้องกันเพียงสายพันธุ์เดียว เพราะวัคซีนที่ป้องกันสายพันธุ์ดั้งเดิมนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว

เนื่องมาจากมีคำแนะนำต่อองค์การอนามัยโลกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชี้ว่าวัคซีนที่ป้องกันเฉพาะสายพันธุ์ดั้งเดิมนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไป (เพราะไม่มีการแพร่เชื้อในมนุษย์อีกต่อไป) การเพิ่มภูมิต้านทานต่อสายพันธุ์ดั้งเดิมอาจขัดขวางการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการป้องกันในวัคซีนตัวใหม่ส่วนประกอบที่ใหม่กว่า แต่เราก็ไม่แน่ใจว่ามันมีความสำคัญเพียงใด

ในช่วงกลางเดือนกันยายน สหรัฐอเมริกาอนุมัติวัคซีนรุ่นใหม่ที่ป้องกันเฉพาะสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 จากไฟเซอร์และโมเดอร์นา และอีกหลายประเทศเช่น ยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ก็มีการอนุมัติวัคซีนปรับปรุงใหม่เหล่านี้ด้วย

ส่วนในประเทศออสเตรเลีย Therapeutic Goods Administration (TGA) อนุมัติวัคซีนรุ่นใหม่ดังกล่าวในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

วัคซีนรุ่นใหม่เหล่านี้มีประสิทธิภาพเพียงใด?

หลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนโมโนวาเลนต์ใหม่เหล่านี้อ้างอิงจากผลการวิจัยของไฟเซอร์และโมเดอร์น่าที่ส่งไปยัง TGA

และยังมาจากการวิจัยที่มีการตีพิมพ์ล่วงหน้า (การวิจัยเบื้องต้นทางออนไลน์ที่ยังไม่ได้รับการทบทวนและให้คำแนะนำ) และรายการงานปรับปรุงวัคซีนที่ไฟเซอร์นำเสนอต่อศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา

เมื่อพิจารณาหลักฐานอ้างอิงเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าวัคซีนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เหล่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนรุ่นก่อนๆ จะผลิตแอนติบอดีในระดับที่ดี (ในการศึกษาในห้องปฏิบัติการกับมนุษย์และหนู) และเมื่อพิจารณาถึงสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่หลายสายพันธุ์ รวมถึง EG.5 (บางครั้งเรียกว่าอีริส) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากทั่วโลกในปัจจุบัน รวมถึงในออสเตรเลียด้วย มันมีความคล้ายคลึงกันกับสายพันธุ์ย่อย XBB ที่มีอยู่ในวัคซีนรุ่นใหม่มาก

วัคซีนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่น่าจะสามารถป้องกันสายพันธุ์ย่อย BA.2.86 หรือ พิโรลา (Pirola) ด้วย หากอ้างอิงจากผลลัพธ์เบื้องต้นจากการทดลองทางคลินิกและศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวมีส่วนทำให้สัดส่วนของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยฌฉพาะจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในออสเตรเลีย

เป็นที่ชัดเจนว่าไวรัสจะมีวิวัฒตนาการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นประสิทธิภาพของวัคซีนก็ยังจะต้องพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเช่นกัน

วัคซีนรุ่นใหม่ปลอดภัยแค่ไหน?

มีการศึกษาว่าความปลอดภัยของวัคซีนรุ่นใหม่มีความปลอดภัยในระดับพอๆกันกับวัคซีนรุ่นก่อนๆ การศึกษาเปรียบเทียบพบว่าไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในแง่ของผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

เนื่องจากเรามีวัคซีนรุ่นใหม่แล้ว ทำให้บางประเทศยกเลิกการฉีดวัคซีนรุ่นก่อน เนื่องจากวัคซีนรุ่นใหม่มีประสิทธิภาพที่จะป้องกันสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่กระจายอยู่ในปัจจุบันมากกว่า ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยใดๆ ของวัคซีนรุ่นเก่า

ในอนาคตจะเป็นอย่างไร?

ความพร้อมของวัคซีนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ถือเป็นการพัฒนาที่น่ายินดี แต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด เราจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ที่มีมีความเสี่ยงในการป่วยรุนแรงจะได้รับการฉีดวัคซีน

นอกจากนี้เราต้องทราบว่าการฉีดวัคซีนควรเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพื่อจำกัดผลกระทบของโควิด-19 อย่างครอบคลุมนับจากนี้เป็นต้นไป

รวมถึงการใช้มาตรการต่างๆ เช่น การสวมหน้ากาก การเว้นระยะห่างทางสังคม การให้ความสำคัญกับการระบายอากาศและคุณภาพอากาศ ลดความตื่นตระหนกของสุขอนามัยความสะอาดของมือ และการเข้าถึงยาต้านไวรัสอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการหลีกเลี่ยงการพบปะผู้อื่นหากคุณติดเชื้อ

* บทความโดย ผู้อำนวยการและสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของกลุ่ม Immunization Coalition พอล กริฟฟิน เขาเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาของ Pfizer, Moderna และ Novavax

คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ 






บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ 


Share
Published 23 November 2023 12:55pm
By Paul Griffin
Presented by Chayada Powell
Source: The Conversation


Share this with family and friends