กดฟังสัมภาษณ์
LISTEN TO
เตรียมพร้อมรับมือการระบาดก่อนเปิดเทอม
SBS Thai
24/01/202209:06
ในรัฐวิกตอเรีย เด็กนักเรียนกำลังจะกลับไปเรียนในโรงเรียนในปลายเดือนมกราคมนี้ หลังวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้เด็กๆ หลายคนต้องเรียนทางไกลเป็นเวลากว่า 18 เดือน
รัฐบาลรัฐวิกตอเรียแถลงแผนการณ์การกลับไปเรียนในโรงเรียน ซึ่งรวมถึงการจัดส่งชุดตรวจแบบทราบผลเร็ว (Rapid antigen test) กว่า 14 ล้านชุดให้แก่โรงเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
นายแดเนียล แอนดรูวส์ (Daniel Andrews) มุขมนตรีกล่าวว่ามาตรการเหล่านี้เพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและนักเรียนจากโควิด-19
"รูปแบบของการกลับไปเรียนในโรงเรียนจะมีการตรวจแบบแอนติเจนสองครั้งต่อสัปดาห์ การตรวจเพื่อเฝ้าระวังนั้นจะเน้นการตรวจจับเคสติดเชื้อ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นทุกเคส นั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อพิจารณาจากจำนวนการแพร่เชื้อในชุมชนตอนนี้ แต่มันเป็นเรื่องของการตรวจหาเคสติดเชื้อให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ และตัดตอนห่วงโซ่การติดเชื้อเหล่านั้น"
นายแอนดรูวส์เสริมว่าการเรียนทางไกลจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
มันจะเป็นเรื่องที่ท้าทาย ไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เราหวัง นั่นเป็นธรรมชาติของไวรัสตัวนี้ ไม่มีการรับมือใดที่สมบูรณ์แบบ แต่ด้วยการทำงานอย่างหนักและความปรารถนาดี ผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเด็กๆ ของเราจะกลับไปเรียนและทำให้พวกเขาปลอดภัย ปลอดภัยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
ภายใต้แผนการณ์นี้ นักศึกษาที่เปราะบางและครูในโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษจะตรวจเชื้อห้าวันต่อสัปดาห์
มีการสั่งซื้อเครื่องฟอกอากาศกว่า 50,000 เครื่องและจะถูกจัดส่งไปให้โรงเรียนในสังกัดของรัฐบาลและโรงเรียนสังกัดนอกรัฐบาลที่รับค่าธรรมเนียมต่ำ ก่อนภาคเรียนแรกจะเริ่มขึ้น
นายเจมส์ เมอร์ลิโน (James Merlino) รองมุขมนตรีกล่าวว่า การใช้เครื่องฟอกอากาศในห้องเรียน ร่วมกับการใช้คำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องฉีดวัคซีนและใส่หน้ากากอนามัย ล้วนถือเป็นแนวทางป้องกันไวรัสที่เข้มงวด
"เจ้าหน้าที่กว่า 99.7% ได้รับวัคซีนครบสองโดสแล้วก่อนปิดภาคเรียนที่ 4 ที่ผ่านมา ดังนั้นผมมีความมั่นใจว่าพนักงานจะปฏิบัติตามคำสั่งบังคับฉีดวัคซีนโดสที่สามอย่างกระตือรือล้น"
ผู้ปกครองจะได้รับการแจ้งเตือนและขอให้ติดตามอาการของบุตร หากพบผู้ติดเชื้อ แต่โรงเรียนจะไม่ต้องปิดอีกต่อไป
ศาสตราจารย์ชารอน โกลด์ฟิลด์ (Sharon Goldfield) กุมารแพทย์จากโรงพยาบาลเด็กในราชินูปถัมภ์ (Royal Children's Hospital) ในเมลเบิร์น กล่าวว่าการกลับไปเรียนในโรงเรียนจะเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีแก่เด็กๆ
เมื่อเด็กๆ กลับไปเรียน เราจะเห็นประโยชน์ของสุขภาพจิตใจและร่างกายโดยรวมที่ดีของเด็ก เรายังคิดว่า เราจะสามารถเสริมสิ่งใดในภารศึกษาที่โรงเรียนและการศึกษาของเด็กปฐมวัย และการดูแลที่จะสามารถเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดี ตลอดจนพัฒนาการและการเรียนรู้ของพวกเขา
รัฐนิวเซาท์เวลส์ก็ใช้แผนการณ์การกลับไปเรียนในโรงเรียนที่คล้ายคลึงกัน มุขมนตรีโดมินิก เพอร์โรต์เทต (Dominic Perrottet) กล่าวว่าการให้เด็กไปเรียนในโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง
"เราทราบดีว่าเด็กๆ ทำได้ดีกว่าในโรงเรียน ไม่ใช่แค่เรื่องการศึกษา แต่ยังรวมถึงเรื่องสุขภาพจิตและการเรียนรู้ทางสังคม โรงเรียนเป็นสถานที่ที่เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีที่สุด และเป็นแหล่งสร้างโอกาส"
นางเคอร์รี แชนท์ (Kerry Chant) หัวหน้าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวว่า เคสผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเมื่อโรงเรียนเปิด แม้ว่าจะมีมาตรการป้องกัน
พยายามลดกิจกรรมหรือการปฏิสัมพันธ์ของเด็กๆ เช่น การนอนค้างหรือกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ เพื่อให้เราสามารถรักษาการกลับไปเรียนแบบตัวต่อตัวในโรงเรียนได้
ในขณะที่ผู้ปกครองหลายท่านสนับสนุนแผนการณ์นี้ แต่ยังมีบางท่านที่ยังคงกังวลว่ามาตรการเพื่อความปลอดภัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบกับลูกๆ ของพวกเขา
“ส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่าการตรวจเชื้อสองครั้ง (ต่อสัปดาห์) มันมากไปหน่อย ฉันคิดว่าอาจจะหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ฉันไม่เป็นไร ตราบใดที่การตรวจเชื้อนั้นทำที่บ้าน ฉันไม่ไว้ใจให้คนอื่นมาตรวจเชื้อลูกสาวของฉันที่โรงเรียน” 
อย่างไรก็ตาม สมาพันธ์ครูแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์มีความกังวลในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของนักเรียน เจ้าหน้าที่ และครอบครัว
เด็กๆ ใส่หน้ากากอนามัยขณะเรียนในห้องเรียน Source: Pexels/Rodnae Productions
นายแองเจโล กาฟรีอูลาทูส (Angelo Gavrielatos) ประธานสมาพันธ์ครูกล่าวว่าจะเป็นการเริ่มภาคการศึกษาที่ยุ่งยากและเจ้าหน้าที่หลายคนเป็นกังวล
“ไม่มีภาคส่วนไหนที่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ทำงานร่วมกับอีกหลายร้อยคน ในบางกรณีนั้นมากกว่า 2,000 คน ในสถานที่ที่จำกัดและไม่มีอากาศถ่ายเท ที่เรียกว่าห้องเรียน ที่มีคนอื่นอีกกว่า 30 คน”
รัฐควีนส์แลนด์ได้ประกาศเลื่อนการเปิดภาคการศึกษาแรก นางอีแวตต์ ดาห์ (Yvette D’Ath) รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขกล่าวขอบคุณผู้ปกครองที่พาลูกๆ ของพวกเขาไปฉีดวัคซีน
“ตอนนี้เราเกือบจะมี 25 เปอร์เซ็นต์ของเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปีที่ได้รับวัคซีน หมายความว่าเกือบ 1 ใน 4 ของเด็กๆ ตอนนี้อยู่ที่ 24.62 เปอร์เซ็นต์ และฉันขอเตือนผู้ปกครองว่าการพาลูกๆ ที่อายุระหว่าง 12-15 ปีไปฉีดวัคซีนก็สำคัญเช่นกัน เรายังมีจำนวนเด็กที่อายุระหว่าง 12-15 ปีที่ได้รับวัคซีนไม่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เราอยากเห็นตัวเลขเพิ่มขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มกลับไปเรียนในโรงเรียนปีนี้”
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ sbs.com.au/thai
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ facebook.com/sbsthai
